ติดฟิล์มลามิน่า บูสต์ชีวิตให้เป็น 1 กับโลกดิจิทัล - Boost Up your Life

40 / 60 / 80 ติดฟิล์มรถยนต์ความเข้มแค่ไหน…ใช่สำหรับคุณ!

SHARE
ติดฟิล์มรถยนต์ 40 60 80
 
คุณกำลังมองหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนติดฟิล์มรถยนต์อยู่ โดยเฉพาะการเลือกความเข้มฟิล์มรถที่เหมาะสมกับการขับขี่ของคุณใช่ไหมครับ? หากคำตอบคือ “ใช่” เราขอแสดงความยินดีด้วย เพราะคุณกำลังอ่านถูกบทความแล้ว ! แต่ถ้าไม่ใช่ … ก็ถือว่ามาเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับฟิล์มรถยนต์ไปด้วยกันได้ครับ  ^^ เพราะวันนี้เราจะมาแชร์ข้อมูลที่ถูกต้อง เจาะลึก และครบถ้วน เกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ใช้รถคนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือเรื่อง “ฟิล์ม  40 / 60 / 80”  … อันนี้ไม่ได้มาใบ้เลขเด็ดกันนะครับผม! แต่เราพาคุณมาไขข้อสงสัยไปด้วยกันว่า ประโยคยอดฮิตในวงการฟิล์มกรองแสงนี้ มันคืออะไร? ต่างกันยังไง?
 
เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจ กดที่นี่ได้เลยครับ
 
 

ฟิล์มรถยนต์ 40 / 60 / 80 ตัวเลขนี้คืออะไร?

เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ชินกันวิธีการเรียกความเข้มของฟิล์มกรองแสง ไปตามตัวเลขที่มากขึ้น ในลักษณะที่ว่า “ฟิล์มยิ่งเข้ม ตัวเลขแทนความเข้มยิ่งมีค่าสูง” เช่น ฟิล์ม 60 เข้มกว่าฟิล์ม 40 เป็นต้น หากเปรียบเทียบความเข้าใจ ฟิล์มใสสำหรับคนไทย ก็คงจะเป็นฟิล์มรถยนต์เบอร์ 0% และฟิล์มรถเบอร์เข้มที่สุดก็จะเป็นฟิล์ม 100% ครับ
 
แต่สาเหตุที่ตัวเลข 40 60 80 กำเนิดขึ้นมาในวงการฟิล์มกรองแสงเมืองไทยนั้น เกิดจากการที่ร้านฟิล์มในประเทศไทย นิยมเลือกนำเข้าฟิล์มกรองแสงเข้มๆ ที่มีค่ากันร้อนสูงมาจำหน่าย (เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน) เพราะฉะนั้น เฉดความเข้มฟิล์มกรองแสง พิมพ์นิยม ในบ้านเราจึงตกอยู่ในตัวเลข 3 ค่านี้ด้วยกัน นั่นก็คือ
  
ฟิล์มรถยนต์ 40 = เข้มน้อย มองจากภายนอกยังเห็นห้องโดยสารภายในได้
ฟิล์มรถยนต์ 60 = เข้มปานกลาง ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายทั่วไป
ฟิล์มรถยนต์ 80 = เข้มมาก ฟิล์มมองจากภายนอกจะดูเข้ม เน้นความเป็นส่วนตัว
 
ซึ่งการเรียกชื่อฟิล์มรถ 40 60 80 แบบนี้ ก็ยังเป็นวิธีสื่อสารที่เซลล์ขายรถ หรือเจ้าของร้านฟิล์มยังนิยมใช้สื่อสารกับลูกค้ากันอยู่ ด้วยสาเหตุที่ว่า “เป็นประโยคที่ลูกค้าเข้าใจง่าย และรับรู้กันมาแต่ดั่งเดิม” ครับ…แต่ แต่ แต่ คุณเคยสงสัยมั้ย ?
 
ฟิล์มกรองแสง มีความเข้มให้เลือกแค่ 3 ระดับเท่านั้น จริง ๆ หรอ ?
 
คำตอบสั้นๆ ก็คือ ไม่จริง! เพราะตามมาตรฐานสากลจากสหรัฐอเมริกาแล้ว  การเลือกเฉดความเข้มของฟิล์มกรองแสงสามารถทำได้ละเอียดกว่านั้นมากๆ ครับ และค่าที่ว่านี้อยู่ในสเปคสากลที่มีชื่อว่า ค่า Visible Light Transmission (VLT) หรือ ค่าแสงส่องผ่าน นั่นเอง
 
 

ค่าแสงสว่างส่องผ่าน (Visible Light Transmission : VLT) คืออะไร?

ค่า VLT คือ ค่าที่บอกถึงปริมาณของแสงสว่างที่สามารถส่องผ่านฟิล์มกรองแสงเข้ามาภายในรถได้ โดยแสดงในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ ถ้าค่า % ยิ่งน้อย หมายถึง แสงผ่านเข้ามาได้น้อย สีฟิล์มก็ยิ่งเข้ม และถ้าค่า % สูง หมายถึง แสงผ่านเข้ามาได้มาก สีฟิล์มจะยิ่งใส จะเห็นได้ว่าการระบุสเปกของฟิล์มตามค่า %VLT จะทำได้ละเอียดกว่าการระบุความเข้มแบบ 40 / 60 / 80 มากๆ
 
อย่างไรก็ตาม หากเรานำค่าความเข้มฟิล์ม 40 / 60 / 80 แบบฉบับของไทย มาจัดหมวดหมู่แบบสากลตามสเกลค่า %VLT เราก็จะได้คำตอบประมาณนี้ครับ
  
ฟิล์มรถยนต์ 40 = มีค่า VLT อยู่ในช่วง 40 - 80%
ฟิล์มรถยนต์ 60 = มีค่า VLT อยู่ในช่วง 20 - 39%
ฟิล์มรถยนต์ 80 = มีค่า VLT อยู่ในช่วง 5-19%
 
ค่า VLT คือ
ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าความเข้มฟิล์ม 40 / 60 / 80
แบบฉบับของคนไทย เทียบกับค่า VLT ตามมาตรฐานสากล
 
อย่างไรก็ตาม ค่านี้ไม่ได้ส่งผลต่อการลดความร้อนจากแสงแดดแบบมีนัยยะสำคัญ อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจนะครับ “ว่าฟิล์มยิ่งเข้มยิ่งกันร้อนได้ดี” หากอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรลองเชคคุณสมบัติฟิล์มใสกันร้อนสูงของเรา Lamina Digital Special Series ได้ครับ จะเห็นได้ว่ากันร้อนได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ฟิล์มเข้มเลย ฉะนั้น หรือค่า %VLT จึงควรใช้เป็นหนึ่งในข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อฟิล์ม และอย่าลืมดูค่าอื่น ๆ ประกอบเพิ่มเติมด้วย ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก Infographic “เลือกฟิล์มกันร้อน ห้ามดูค่าเดียว” นะครับ 
 

บทความที่เกี่ยวข้อง


ก่อนเลือกซื้อฟิล์มกรองแสง มาทำความรู้จักกับฟิล์มกรองแสงให้มากขึ้น ทั้งเทคโนโลยีการผลิต ประโยชน์ที่คุณคาดไม่ถึง พร้อมทำความเข้าใจวิธีการอ่านค่าสเปคต่าง ๆ โดยละเอียดได้ที่บทความ ฟิล์มกรองแสง
 
 

ความเข้มของฟิล์ม ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง

เราได้รู้แล้วว่าฟิล์มแต่ละรุ่นมีค่า %VLT ที่ต่างกันได้มากมาย (ถ้าลืมว่า VLT คืออะไร ย้อนกลับไปอ่านข้างบนได้นะครับ) แต่แล้วปัจจัยอะไรกันล่ะ ที่ทำให้ฟิล์มรถยนต์มีเฉดความทึบ หรือความเข้มต่างกันยังไง? ไปดูกันต่อเลยดีกว่าครับ
 
VDO นี้ ลามิน่าจะพาคุณไปดูกรรมวิธีการย้อมสีฟิล์มกัน (นาทีที่  23.32)
 

ปัจจัยที่ 1 : ขั้นตอนการย้อมสี

ในขั้นตอนของการย้อมสีนี้ จะเป็นการนำเฉดสีที่ต้องการ มาย้อมฝังสีเข้าสู่ตัวเนื้อฟิล์ม ซึ่งเฉดสีเองก็จะส่งผลต่อความเข้มฟิล์มรถยนต์ด้วยเช่นกันครับ ขอยกตัวอย่างขั้นตอนการย้อมสีจากโรงงาน Eastman Chemical (โรงงานผลิตฟิล์มชั้นนำจากอเมริกา ที่ Lamina Films นำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยเป็นรายแรกครับ) 
 
ที่โรงงานสามารถ สร้างสรรค์สีของฟิล์มได้มากกว่า 4,000 เฉดสี ซึ่งเกิดจากการผสมแม่สี 3 สีหลัก นั่นก็คือ สีแดง (Red), สีเหลือง (Yellow) และสีน้ำเงิน (Blue) และในระหว่างกระบวนการนี้ จะมีการนำสารดูดซับรังสี UV ผสมเข้าไปในผงสีด้วย
 

ปัจจัยที่ 2 : วัสดุกันร้อนบางชนิด ส่งผลต่อสีและความเข้มของฟิล์ม

หลังจากการย้อมสีให้ฝังเข้าไปในเนื้อฟิล์มกรองแสงแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการเคลือบวัสดุกันร้อน ไม่ว่าจะเป็นสารโลหะ (อย่างเช่น ไทเทเนียม, ทอง, เงิน, อลูมิเนียม, ทองแดง ฯลฯ) หรืออโลหะ (อย่างเช่น เซรามิค หรือ คาร์บอน) สารบางชนิดสามารถมีผลต่อสีและความเข้มของฟิล์มได้ ยกตัวอย่าง ธาตุคาร์บอน (C) ที่มีสีดำในตัวเองเป็นธรรมชาติ เมื่อเคลือบฟิล์มแล้วจะส่งผลให้ฟิล์มมีสีดำเข้มขึ้นเล็กน้อย
 

ปัจจัยที่ 3 : สีเดิมของกระจกรถยนต์

เป็นปัจจัยที่ไม่ได้เกิดจากฟิล์มโดยตรง แต่เป็นสีที่เพี้ยนไปจากการที่ติดฟิล์มบนกระจกรถยนต์ที่มีสีดั้งเดิมอยู่แล้ว ซึ่งสีกระจกของรถยนต์แต่ละคัน แต่ละรุ่นก็มีสี ความเข้ม และความใสไม่เหมือนกัน ทำให้เมื่อติดฟิล์มกรองแสงเข้าไปในรถแต่ละรุ่น ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันเล็กน้อย 
 
ยกตัวอย่างเช่นรถตั้งแต่ช่วงปี 90’ ลงไป ที่สีกระจกจะมีสีชาเป็นทุนเดิม รถรุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ขึ้นมา สีกระจกก็มักจะอมสีเขียว และรถนำเข้าบางรุ่นอาจมีการติดตั้ง Privacy Glass มาแล้วจากโรงงาน ซึ่งเป็นกระจกที่มีความเข้มเหมือนติดฟิล์มมาแล้ว เป็นต้น
 
กระจก Privacy Glass
ตัวอย่างรถที่ติดตั้ง Privacy Glass ที่กระจกคู่หลัง
ที่มา:
Steve Coulter Performance Cars
 

ปัจจัยที่ 4 : ขนาดของบานกระจกรถยนต์

อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความเข้มฟิล์มรถยนต์ที่เกิดขึ้นจากตัวรถ ไม่มีผลกับสเปคฟิล์ม แต่มีผลกับความรู้สึกเมื่อได้มองจากภายนอก  นั่นก็คือ ขนาดของบานกระจกรถยนต์ครับ (โดยเฉพาะกระจกบานหน้า และกระจกบานหลัง) และจำนวนของบานกระจกที่มีในรถยนต์ (เช่น มีซันรูฟด้านบนเพิ่ม) กล่าวคือ…
 
รถที่มีพื้นที่กระจกมาก จะมีช่องให้แสงส่องผ่านเข้าสู่ห้องโดยสารได้มาก 
เมื่อมองจากภายนอกจึงเห็นห้องโดยสารภายในชัดเจนกว่ารถที่มีพื้นที่กระจกน้อย
 
เพราะฉะนั้นพี่ ๆ ช่างติดฟิล์มลามิน่าจึงฝากมาบอกว่า ถ้าคุณติดฟิล์มรถยนต์เบอร์ 60% ให้รถสปอร์ต (มักมีเพียงกระจกบานหน้าและกระจกบานคู่หน้า รวม 3 บาน) มันอาจดูเข้มจากภายนอกเหมือนฟิล์ม 80% บนรถซิตี้คาร์ทั่ว ๆ ไปเลยก็ได้
 
มาดูตัวอย่างกันครับ กับ Ford Mustang GT350 ที่เป็นตัวแทนของรถสปอร์ต 2 ประตูที่มีจำนวนบานหน้าต่างน้อย และ Haval Jolion ที่เป็นตัวแทนของรถ SUV มาพร้อมกระจกหลายบาน ซึ่งทั้งสองคันนี้ ติดฟิล์มรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน นั่นก็คีอ L15 Digital Ceramatrix นั่นเอง  ลองเลื่อนดูด้านล่างได้เลยครับ
 
ฟิล์มรถยนต์ Ford Mustang GT350
รถสปอร์ต 2 ประตู
ติดฟิล์มกระจกบานหน้า L30 Digital Ceramatrix 
และติดฟิล์มรอบคัน L15 Digital Ceramatrix
 
ฟิล์มรถยนต์ Haval Jolion
รถ SUV 4 ประตู พร้อมซันรูฟ
ติดฟิล์มกระจกบานหน้า L30 Digital Ceramatrix
และติดฟิล์มรอบคัน+ซันรูฟ L15 Digital Ceramatrix
 
เทียบกันแบบนี้ ชัดเจนเลยใช่มั้ยล่ะครับ ว่าแม้รุ่นฟิล์มจะเหมือนกัน แต่เมื่อติดตั้งบนกระจกรถคนละไซส์ 
ไม่ว่าจะเป็น รถสปอร์ต, รถเก๋ง, รถ SUV หรือรถกระบะ ก็อาจที่ทำให้สีฟิล์มดูแตกต่างกันได้ด้วย
  
 

คำถามที่ต้องตอบ ก่อนเลือกติดฟิล์มรถยนต์

 

ส่วนใหญ่ขับรถในช่วงเวลาไหน?

ขับกลางวัน หรือกลางคืน … ช่วงไหนบ่อยกว่ากัน? ถ้าคุณเป็นคนที่มี Lifestyle ชีวิตประจำวันขับรถในช่วงกลางวันบ่อย ก็สามารถติดฟิล์มรถยนต์สีเข้มได้ เช่นบานหน้า 60, รอบคัน 80 แต่ถ้าขับกลางคืนบ่อย ๆ แนะนำเป็นติดบานหน้าสัก 40 (หรือค่า VLT ฟิล์มติดกระจกบานหน้าไม่ต่ำกว่า 30%) และรอบคัน 60 ครับ
 

ใช้กระจกมองหลังตอนถอยจอดหรือไม่

ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้กระจกมองหลังตอนถอยรถเข้าซอง ความเข้มของฟิล์มที่ติดกระจกบานหลังไม่ควรเข้มกว่า 60 แต่ถ้าคุณไม่ได้กระจกมองหลังสักเท่าไหร่ เนื่องจากถนัดมองกล้องหลังบนจอ LCD ในรถอยู่แล้ว จะติดเข้มแค่ไหนก็ได้ แล้วแต่ความชอบได้เลยครับ
 

สายตาของท่านเป็นอย่างไร

หากคุณมีภาวะสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นอาการสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาวก็ตาม การติดฟิล์มกรองแสง เราอยากให้คุณใส่ใจเรื่องทัศนวิสัยมาก่อนเป็นอันดับแรก ลามิน่าแนะนำให้ติดฟิล์มกระจกบานหน้าที่ความเข้ม 40 ไว้ก่อน (ค่า VLT ฟิล์มติดกระจกบานหน้าไม่ต่ำกว่า 30%) นอกจากนี้ควรติดตั้งฟิล์มเงาน้อย (ค่า VLR ไม่เกิน 15%) เพื่อลดการสะท้อนแสงไฟเวลาขับกลางคืน เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุดครับ
 
 ขอแนะนำ  Lamina Digital Mystery Boost ฟิล์มรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี Digital Xtreamer 100% ผสานนวัตกรรม DigitalBoost® เพื่อถนอมดวงตาโดยเฉพาะ
 
 

สรุป

ความเข้มฟิล์มรถยนต์ 40 / 60 / 80 เป็นการเรียกค่าความเข้มของฟิล์มที่มีเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ยิ่งค่าสูง ยิ่งหมายถึงมีความเข้มสูง แต่ในทางกลับกัน ระบบสากลจะใช้ค่า %VLT (Visible Light Transmission) เป็นมาตรฐาน ค่า % ยิ่งมาก ฟิล์มยิ่งใส ทั้งนี้คุณควรเลือกความเข้มของฟิล์มรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานของท่าน นอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว จะได้ปลอดภัยต่อการขับขี่ด้วยครับ
 
ศึกษาให้ดีก่อนเลือกซื้อ เพราะฟิล์มกรองแสงรถยนต์ จะอยู่กับรถคู่ใจของเราไปอีกนาน สำหรับใครที่ต้องการศึกษาเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง สามารถตามไปอ่านบทความอื่น ๆ ของเราได้เลย
 
บทความน่ารู้
-   อยากติดฟิล์มต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ คิดราคายังไงบ้าง? หากสงสัยต้องตามไปที่บทความ “ติดฟิล์มรถยนต์ ราคา?”
-   ทำความรู้จัก “ฟิล์มเซรามิค” และ “ฟิล์มปรอท”

สำหรับฟิล์มรถยนต์จาก Lamina เรามีหลากหลายสี หลากหลายประเภทมากเลยครับ!
ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเลือกฟิล์มรถยนต์แบบไหนดี Lamina แนะนำ! ลองไปจำลองติดฟิล์มรถยนต์กันได้เลยครับ