การเลือกฟิล์มกรองแสงให้เหมาะกับที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากกว่าแค่ "กันร้อน" หรือ "สวยดี" หลายคนอาจไม่รู้ว่ามีความแตกต่างมากมายระหว่างการเลือกฟิล์มคอนโดและฟิล์มกระจกบ้าน บทความนี้จะพาทุกท่านสำรวจความแตกต่าง 5 ประการสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกฟิล์มกรองแสงสำหรับที่อยู่อาศัยของคุณ
สนใจหัวข้อไหน เลือกคลิกอ่านได้เลยครับ
|
กฎระเบียบการติดฟิล์มคอนโด vs บ้านเดี่ยว: ข้อควรรู้ก่อนติดตั้ง
ถึงแม้การติดฟิล์มกรองแสง ในตัวของผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันระหว่าง “ฟิล์มคอนโด” กับ “ฟิล์มบ้าน” แต่สิ่งที่ทำให้คอนโดและบ้านมีความแตกต่างอย่างมาก นั่นก็คือเรื่องของกฎระเบียบการติดฟิล์มครับ โดยคอนโดมักมีข้อบังคับที่เข้มงวดกว่ามาก ดังนี้
1. กฎระเบียบของคอนโด
การติดฟิล์มคอนโดมักต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุดอย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจรวมถึง ข้อจำกัดเรื่องประเภทและสีของฟิล์มเพื่อความสวยงามและความเป็นระเบียบของโปรเจกต์คอนโดนั้นๆ อีกทั้ง รวมไปถึงเงื่อนไขการรับประกันกระจกหรือหน้าต่างคอนโดที่อาจเป็นโมฆะหากติดฟิล์มผิดประเภท เช่น ค่าการสะท้อนแสง (VLR) จะต้องไม่เกินระดับที่นิติบุคคลแต่ละแหล่งกำหนด และค่าแสงส่องผ่าน (VLT) ที่คอนโดส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ได้ ต้องไม่น้อยกว่า 30-50% หรืออีกนัยคือ ไม่เข้มเกิน 60% เป็นต้น
"การไม่ปฏิบัติตามกฏหมายติดฟิล์มคอนโดแต่ละแห่ง อาจส่งผลให้โดนเรียกปรับหรือถูกบังคับให้ลอกฟิล์มออกภายหลัง ซึ่งทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุได้"
2. กฎระเบียบของบ้านเดี่ยว
ในทางตรงกันข้าม บ้านแนวราบมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการเลือกฟิล์ม เนื่องจากเป็นอสังหาริมทรัพย์ส่วนบุคคล จึงมีอิสระในการเลือกประเภท สี และความเข้มของฟิล์มตามความชอบส่วนตัวครับ ถึงแม้จะอยู่ในโครงการหมู่บ้านจัดสรร ก็ยังสามารถเลือกคุณสมบัติฟิล์มตรงตามการใช้งานได้อย่างเต็มที่
รู้หรือไม่!? ผลการทดสอบจากคลิปนี้ระบุว่า
การศึกษาจาก IWFA สหรัฐฯ พบว่าการติดฟิล์มกรองแสงคุณภาพดีสามารถคืนทุนได้ภายใน 3-5 ปีโดยเฉลี่ย ผ่านการประหยัดค่าไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศครับ ยิ่งถ้าติดฟิล์มให้กับคอนโดแล้ว ก็ยิ่งมีสิทธิ์คืนทุนได้เร็วกว่าบ้าน เนื่องจากมีพื้นที่กระจกต่อตารางเมตรที่มากกว่านั่นเอง
|
ความปลอดภัย: ปัจจัยที่แตกต่างระหว่างกระจกคอนโดและบ้าน
อสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาขึ้นจากแต่ละ Developer นั้นก็มีความแตกต่างกันไปตามเกรด และราคาของทรัพย์ครับ แต่ในภาพใหญ่แล้ว บ้านแนวราบในโครงการจัดสรรส่วนใหญ่มักเป็นกระจกเกรดทั่วไป (Residental Grade) ในขณะที่กระจกที่ติดตั้งในคอนโดจะเป็นเกรดพิเศษ (Commercial Grade) เนื่องจากคอนโด High-Rise ต้องเผชิญกับภาวะลมฝน ลมพายุโดยตรง และต้องมีคุณสมบัติในการเสริมความแข็งแกร่งของตัวอาคารคอนโดมิเนียม
แต่บ้านแนวราบนั้น มักจะมีจำนวนชั้นไม่เกิน 3 อีกทั้งอาจยังมีกำแพง หรือต้นไม้ใหญ่ คอยป้องกันแรงลม หรืออันตรายต่างๆ ที่อาจทำอันตรายต่อกระจกได้
ดังนั้น ลามิน่าแนะนำ บ้านแนวราบมีความจำเป็นมากกว่าในการติดตั้งฟิล์มนิรภัยบ้านเพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุกระจกแตก หรือการทุบกระจกเพื่อโจรกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่เข้าถึงได้ง่ายจากภายนอก เช่น ประตูกระจก หน้าต่างชั้นล่าง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย ส่วนคอนโดมิเนียมสามารถติดฟิล์มกรองแสงบ้านเน้นกันร้อน หรือเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ครับ
ตารางเปรียบเทียบความจำเป็นในการติดตั้งฟิล์มนิรภัย*
ประเภทที่อยู่อาศัย |
ระดับความจำเป็น |
เหตุผล |
บ้านแนวราบ |
สูง |
กระจก Residential Grade มีความเสี่ยงสูงต่อการแตกและการโจรกรรมมากกว่า |
คอนโด Low-Rise |
ปานกลาง |
มีความเสี่ยงต่อการโจรกรรม แม้กระจกจะแข็งแรงกว่า |
คอนโด High-Rise |
ต่ำ-ปานกลาง |
กระจก Commercial Grade มีความแข็งแรง เน้นฟิล์มกันร้อนอาคารเป็นหลัก |
บ้านแนวราบ |
ระดับความจำเป็น |
เหตุผล |
สูง |
กระจก Residential Grade มีความเสี่ยงสูงต่อการแตกและการโจรกรรมมากกว่า |
คอนโด Low-Rise |
ระดับความจำเป็น |
เหตุผล |
ปานกลาง |
มีความเสี่ยงต่อการโจรกรรม แม้กระจกจะแข็งแรงกว่า |
คอนโด High-Rise |
ระดับความจำเป็น |
เหตุผล |
ต่ำ-ปานกลาง |
กระจก Commercial Grade มีความแข็งแรง เน้นฟิล์มกันร้อนอาคารเป็นหลัก |
*ใช้ประกอบการตัดสินใจเบื้องต้นเท่านั้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านฟิล์มกรองแสง และนิติบุคคลอาคารชุดของท่านก่อนตัดสินใจ
ฟิล์มกระจกบ้าน vs ฟิล์มคอนโด: กันร้อนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน
ในขณะที่กระจกคอนโดต้องมีความแข็งแรงทนทานกว่า แต่คุณเชื่อหรือไม่ ? บ้านแนวราบ (อาจ) ได้รับผลกระทบจากความร้อนมากกว่าคอนโดครับ เนื่องจากตัวสินทรัพย์ที่มีระดับความสูงเพียง 2-3 ชั้น จึงได้รับความร้อนจาก 3 แหล่งด้วยกัน ได้แก่
- ความร้อนระอุจากพื้นดิน
- ความร้อนสะสมแผ่จากกำแพงปูน หรือฝ้าหลังคา
- ความร้อนจากมวลอากาศร้อนรอบตัวบ้าน
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายๆ หากตัวบ้านไม่ได้วางแผนการลดความร้อนสะสมในอาคารอย่างรัดกุมเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็น ฉนวน/ฝ้ากันความร้อน สีกันความร้อน สร้างระบบระบายความร้อนเช่น การปลูกต้นไม้สร้างร่มเงา หรือบ่อน้ำ หรือแม้แต่การติดฟิล์มกรองแสงก็ตาม เราก็อาจพบอาการอยู่ในร่ม แต่เหงื่อชุ่มอยู่ในบ้าน ‘ก็เป็นได้’ ดังนั้นลามิน่าอยากแนะนำวิธีการเลือกฟิล์ม 3 ประเภท ที่เหมาะกับการกันร้อนของแต่ละอาคาร ดังนี้ครับ
- ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Films) - ลดความร้อนได้กว่า 50-70% (TSER) โดยยังคงความเคลียร์ชัดในการมอง ทั้งกลางวันและกลางคืน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคอนโดที่ต้องการรักษาวิวทิวทัศน์
- ฟิล์มปรอท (Metalized Films) - สามารถลดความร้อนได้สูงถึง 70% (TSER) เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการเน้นการกันความร้อนและให้ความเป็นส่วนตัวในเวลากลางวัน แต่หากต้องการความส่วนตัวในเวลากลางคืนด้วยแนะนำเป็นฟิล์มเซรามิค
และอย่าลืมนะครับว่า! ความเข้มของฟิล์มไม่ได้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการกันความร้อนเสมอไป ฟิล์มเซรามิคใสบางรุ่นสามารถกันความร้อนได้ดีกว่าฟิล์มสีเข้ม การเลือกฟิล์มควรพิจารณาที่ค่า TSER (Total Solar Energy Rejected) เป็นหลัก ไม่ควรดูที่ค่า IR หรืออินฟราเรดเพียงค่าเดียวครับ
รู้หรือไม่!? ผลการทดสอบจากคลิปนี้ระบุว่า
การทดสอบด้วยเครื่องวัดรังสีความร้อนระบบ BTU จาก Youtuber ช่อง : Dark shade window tint ได้แสดงให้เห็นว่า บ้านแนวราบที่ไม่ติดฟิล์มกระจกบ้าน มีค่าการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านสูงกว่าคอนโดในชั้นเดียวกันที่ไม่ติดฟิล์ม สูงกว่า 15-20% เนื่องจากได้รับความร้อนจากหลายทิศทางครับ
|
ทัศนวิสัยและความเป็นส่วนตัว: เลือกแบบไหนให้เหมาะสม
คอนโดกับความสำคัญของวิว: ทัศนียภาพในห้องเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกฟิล์มคอนโดไม่น้อย เนื่องจากวิวมุมสูงของคอนโด เป็นจุดขายสำคัญและเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าของคอนโดหลายๆ ท่านจ่ายเงินซื้อ ซึ่งเห็นได้จากราคาขายคอนโดยิ่งชั้นสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีราคาที่สูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ (หรือกรณีปล่อยเช่าคอนโดที่อยู่ชั้นสูงๆจะปล่อยได้เร็วกว่า ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ที่ซื้อเพื่อลงทุน) เพราะฉะนั้น เจ้าของคอนโดจึงควรพิจารณาฟิล์มที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครับ
- มีความเคลียร์พอที่จะไม่บดบังทัศนียภาพ
- ยังคงกันความร้อนได้ดี
- มีความสวยงามและไม่เปลี่ยนโทนสีของวิวภายนอกมากเกินไป
ลามิน่าแนะนำ: "ฟิล์มเซรามิคเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคอนโด เพราะสามารถลดความร้อนได้มากกว่า 50% โดยไม่จำเป็นต้องมีความเข้มหรือสีที่ทำให้สีกระจกเปลี่ยนมากเกินไป ทำให้ยังคงเห็นวิวได้ชัดเจนตามธรรมชาติ
มีความเคลียร์พอที่จะไม่บดบังทัศนียภาพ
บ้านกับความเป็นส่วนตัว: ในขณะที่เรื่องวิว หรือทัศนวิสัยมีความสำคัญสำหรับบ้านพักอาศัยน้อยกว่าคอนโด (เพราะผู้อยู่อาศัยสามารถออกไปสัมผัสบรรยากาศนอกบ้านได้ง่าย) ความเป็นส่วนตัวจึงมีความสำคัญกว่าครับ เพราะอาคารบ้านแนวราบจะอยู่ในระดับสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาเสมอ เพื่อความสบายใจในการอยู่อาศัยของคุณ ควรพิจารณาคุณสมบัติของฟิล์มตาม 2 ประเด็นนี้ !
- ฟิล์มปรอท (Metalized Films) ให้ความเป็นส่วนตัวในเวลากลางวันดีเยี่ยม
- ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Films) ดำนอก สว่างใน กันร้อนสูง ตอบโจทย์คนรักบ้าน
- ฟิล์มนิรภัย (Safety Films) มีความเข้ม เหนียวแน่น และทนทานสูงทั้งเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ลามิน่าแนะนำ: ฟิล์มปรอท (ฟิล์มเงา) จะให้ความเป็นส่วนตัวเฉพาะในเวลากลางวัน ขณะที่ในเวลากลางคืนเมื่อภายในบ้านมีแสงสว่างจากหลอดไฟ คุณจะต้องใช้ม่านหรือมู่ลี่เสริม หากต้องการความเป็นส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง ที่ลามิน่า เราแนะนำฟิล์มเซรามิคนิรภัย ตอบโจทย์ความต้องการทั้งความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของเจ้าของบ้านได้อย่างลงตัวครับ

ฟิล์มให้ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของเจ้าของบ้าน
DigitalBoost: ความแตกต่างในการเลือกฟิล์มเพื่อรองรับเทคโนโลยีดิจิทัล
สำหรับในหัวข้อนี้ ขอยกให้กับบ้านล้ำสมัยของผู้นำเช่นคุณเลยครับ เนื่องจากไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนเจนใหม่ เข้าสู่วิถีของคำว่า “Smart Life, Smart Home” ก็ว่าได้ เริ่มจากความจำเป็นพื้นฐานของสัญญาณ Wi-Fi, ฺBluetooth และ 5G ในบ้าน หรืออาคารที่ต้องสามารถกระจายสัญญาณได้อย่างครอบคลุม เร็ว แรง ลื่น เสถียร ช่วยให้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั่วทั้งบ้าน อีกทั้งยังรองรับระบบ Self Auto Update (OTA) ผ่าน wifi ภายในบ้าน สำหรับรถอีวีรุ่นใหม่ รวมไปถึงระบบความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิดไร้สาย หรือระบบล็อคประตูอัจฉริยะ ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
แม้บ้านแนวราบจะมีความต้องการการกระจายสัญญาณต้องกระจายทั่วทุกพื้นที่ ทั้งลานจอดรถ สวน ห้องน้ำ หรือสระว่ายน้ำส่วนตัว แต่ผู้อยู่อาศัยคอนโด (ที่มักอยู่ในวัยทำงานอาศัยใจกลางเมือง) ก็ต้องการสัญญาณรองรับการทำงาน Work from Home หรือการการประชุมออนไลน์ หรือ ไลฟ์สตรีมมิ่ง ที่ต้องการความเสถียรสูงเช่นกัน
ลามิน่าแนะนำ: อย่าให้ชีวิตติดขัดกับปัญหา สัญญาณ Wi-Fiอ่อน, เชื่อมต่อ Bluetooth ไม่เสถียร หรืออุปกรณ์สมาร์ทโฮมติดขัด ทำงานผิดพลาด หรือตอบสนองช้า ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ จากเทคโนโลยี Lamina DigitalBoost ทำให้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมและการเชื่อมต่อทุกรูปแบบของไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่ไหน ลามิน่าพร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตดิจิทัลของคุณครับ
ตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพฟิล์ม*
ประเภทฟิล์ม |
การรองรับสัญญาณ |
คุณสมบัติสำคัญ |
ฟิล์มลามิน่าที่มี DigitalBoost |
ดีเยี่ยม (95-100%) |
ประสิทธิภาพรองรับสัญญาณดิจิทัลได้ เร็ว แรง ลื่น เสถียร สูงสุด |
ฟิล์มเซรามิค |
ดี (80-90%) |
รองรับการใช้งานเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมได้ดี |
ฟิล์มโลหะทั่วไป |
ปานกลาง (50-70%) |
อาจมีปัญหาติดขัด ช้า เมื่อใช้อุปกรณ์หลายชิ้นพร้อมกัน |
ฟิล์มลามิน่าที่มี DigitalBoost |
การรองรับสัญญาณ |
คุณสมบัติสำคัญ |
ดีเยี่ยม (95-100%) |
ประสิทธิภาพรองรับสัญญาณดิจิทัลได้ เร็ว แรง ลื่น เสถียร สูงสุด |
ฟิล์มเซรามิค |
การรองรับสัญญาณ |
คุณสมบัติสำคัญ |
ดี (80-90%) |
รองรับการใช้งานเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมได้ดี |
ฟิล์มโลหะทั่วไป |
การรองรับสัญญาณ |
คุณสมบัติสำคัญ |
ปานกลาง (50-70%) |
อาจมีปัญหาติดขัด ช้า เมื่อใช้อุปกรณ์หลายชิ้นพร้อมกัน |
*เป็นตารางเปรียบเทียบเพื่อประกอบการตัดสินใจเบื้องต้นเท่านั้น
สรุป
การเลือกฟิล์มต้องพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัย โดยฟิล์มกันร้อนอาคารคอนโดควรตรวจสอบกฎหมายติดฟิล์มคอนโดและข้อบังคับนิติบุคคลก่อน ถ้าให้ชัวร์ควรเน้นฟิล์มใสที่ไม่บดบังวิว และมีค่า VLT ไม่น้อยกว่า 30-50% ขณะที่ฟิล์มกระจกบ้านควรเลือกฟิล์มนิรภัยบ้านที่มีค่า TSER สูง 60–70% ขึ้นไป เพื่อรับมือความร้อนจากหลายทิศทาง และอาจเลือกฟิล์มเข้มเพื่อความเป็นส่วนตัว ทั้งนี้ ที่อยู่อาศัยทั้งสองประเภทควรเลือกฟิล์มที่มีเทคโนโลยี DigitalBoost เพื่อรองรับการใช้งานอุปกรณ์สมาร์ทโฮมยุคใหม่ ช่วยการทำงานออนไลน์ และการเชื่อมต่อไร้สายทุกรูปแบบทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน ให้เร็ว แรง ลื่น เสถียร 100% ครับ
Reference
1. https://www.tintingchicago.com/home-tinting/
2. https://www.youtube.com/watch?v=btlUVTvJVOY|
3. https://www.alwindows.com.au/blog/which-type-of-glass-is-best-for-energy-efficiency/
4. https://protintorlando.com/commercial-tint/high-rise-large-building-solutions/
สอบถามข้อมูลฟิล์มรถยนต์ลามิน่าเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 02-422-2345
Facebook:
m.me/LaminafilmsHQ
@LINE: https://lin.ee/ot1aDYm